“เอ...จะเลือกซ้ายหรือขวาดีนะ” คุณเคยตั้งคำถามกันบ้างหรือไม่ เวลาที่เราเดินเล่นหรือเดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้าบางครั้งเราก็ตัดสินใจ ไม่ถูกว่าจะเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวา หรือบางครั้งในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเดินทางเราจะเลือกไป ทางไหนดี คำถามที่แสดงถึงความสงสัยในพฤติกรรมพื้นฐานของคนนี้ “น้องอร” นักเรียน ม.3 มีคำตอบ “น้องอร” หรือ
ด.ญ.อติพร เทอดโยธิน นักเรียนชั้น ม. 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน มีความสนใจในพฤติกรรมการตัดสินใจของคนเราที่จะเลือกเลือกเส้นทางซ้าย – ขวา โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่าโดยปกติคนเรามักจะต้องมีเหตุผลในการวิเคราะห์อย่าง ถี่ถ้วนในการตัดสินใจเลือกใดๆ ก็ตามอยู่เสมอ แต่บางเมื่อเดินมาถึงทางแยกที่จะต้องเลือกระหว่างจะไปซ้ายหรือขวา เราก็จะเลือกทางใดทางหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผลเพียงพอ น้องอรจึงอยากทราบว่าอะไรคือปัจจัยของพฤติกรรมดังกล่าว
ทั้งนี้คาดว่าผลการศึกษาการเลือกซ้าย-ขวาของคนเราจะทำให้เกิดการ ประยุกต์ใช้ประโยชน์มากมาย เช่น วางแผนทางเดินและวางตำแหน่งสินค้าในห้างสรรพสินค้า วางระบบการจราจรให้เหมาะสม วางตำแหน่งบันไดหนีไฟและทางออกฉุกเฉินในงานต่างๆ และการออกแบบอุปกรณ์ต่างๆให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของมนุษย์
วิธีการศึกษาของน้องอรคืออาศัยจากการตอบแบบสอบถามและทำการทดลองจริง กับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนซึ่งนักเรียนชั้น ม.1-6 ของโรงเรียนสาธิตฯ ทั้งหมด 142 ต่างให้ความช่วยเหลือมาร่วมทดสอบกับน้องอร โดยมีวิธีทดสอบให้เพื่อนเดินจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง และตั้งเงื่อนไขขึ้นมา 3 กรณีคือ 1.ผู้ร่วมทดลองอยู่ในสถานการณ์ที่เห็นชัดเจนว่าทั้งซ้ายและขวามีระยะจากจุด เริ่มถึงปลายทางเท่ากัน 2.ผู้ร่วมทดลองระยะจากจุดเริ่มจนถึงปลายทางนั้นระหว่างซ้ายหรือขวาที่ไกล กว่ากันเนื่องจากใช้ผ้าม่านกั้นไว้ และ 3.ทดสอบภาวะฉุกเฉินหรือตกใจ
“การ ทดสอบทำได้โดยให้ผู้เข้าทดสอบยืนอยู่ที่จุดจุดหนึ่ง แล้วผู้ควบคุมการทดลองจะแกว่งของที่แขวนลงมาจากเพดาน เข้าใส่ผู้ทดสอบตรงๆ โดยไม่บอกให้ผู้เข้าทดสอบรู้ล่วงหน้า ผลที่ได้คือ ผู้เข้าทดสอบจะตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่ต้องหลบให้พ้นจากสิ่งของนั้นอย่างรวด เร็ว” น้องอรเล่าและกล่าวว่าผลการทดสอบแต่ละขั้นตอนจะถูกบันทึกไว้เพื่อนำมา วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าทดสอบ เช่น เพศ วัย ความถนัดซ้าย-ขวาของสมอง และความถนัดซ้าย-ขวาของมือ
ส่วนการการตอบแบบสอบถามนั้น น้องอรได้ตั้งคำถามในแบบสำรวจให้ผู้ตอบเลือกว่าจะตัดสินใจไปทางซ้ายหรือทาง ขวาใน 2 กรณีคือ 1.กรณีที่ผู้ตอบทราบว่าจุดหมายและปลายทางระหว่างทางเลือกซ้ายหรือขวานั้น เท่ากัน และ 2.กรณีที่ตอบไม่ทราบว่าทางซ้ายหรือขวาไกลกว่ากัน ส่วนกรณีที่ผู้ตอบอยู่ในสถานการณ์ตกใจนั้นน้องอรกล่าวว่าไม่สามารถหาข้อมูล มาสร้างคำถามได้จึงถูกตัดออกจากการสำรวจ ทั้งนี้มีนักเรียนในโรงเรียนของน้องอรตั้งแต่ชั้น ม.1-6 ร่วมตอบแบบสำรวจทั้งหมด 716 คน
หลังจากได้ผลการทดลองและผลสำรวจแล้ว น้องอรได้ใช้โปรแกรมสำหรับวิเคราะห์ทางสถิติ SPSS (Statistical Package for Social Science) ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจาก
ผศ.ดร.วิวัฒน์ เรืองเลิศปัญญากุล อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นอาจารย์พี่เลี้ยงจากโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชนหรือเจเอสทีพี (JSTP) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
จาก การทดลองพบอีกว่าคนส่วนใหญ่นิยมเลือกทางขวามากกว่าทางซ้ายในอัตราส่วนประมาณ 6:4 ยกเว้นกรณีเมื่ออยู่ในภาวะฉุกเฉินหรือตกใจ กลับมีปฏิกิริยาที่จะหลบไปทางขวาน้อยกว่าทางซ้ายด้วยสัดส่วน 4:6 และจากการหาความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจและตัวแปรอิสระ เช่น เพศ อายุ และความถนัดซ้าย-ขวาของสมองและมือ พบว่ากรณีที่คนเราต้องตัดสินใจเลือกซ้ายขวาขณะตกใจนั้นจะขึ้นอยู่กับอายุ โดยพบว่าอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไปจะเลือกไปทางซ้ายมากกว่า และกรณีที่ไม่ทราบว่าระยะทางจากจุดใดจะไปถึงปลายทางเร็วกว่ากัน พบว่ามีความสัมพันธ์กับความถนัดซ้าย-ขวาของมือ นั่นคือคนที่ถนัดซ้ายจะเลือกไปทางซ้าย ส่วนคนที่ถนัดขวาจะเลือกไปทางขวา และยังพบข้อสังเกตอย่างชัดเจนว่าในทุกเงื่อนไขคนอายุ 12 ปีจะเลือกไปทางซ้ายถึง 54 เปอร์เซ็นต์
น้องอรเล่าว่าใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้ 8-9 เดือนมาตั้งแต่ ม.2 พร้อมทั้งเล่าว่าในการทดลองก็อุปสรรคต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเวลาที่เป็นปัญหามาก เพราะจะต้องศึกษาให้เสร็จก่อนสอบปลายภาคในภาคการศึกษาที่ผ่านมา และยังมีปัญหาเรื่องความยากในการหาโปรแกรมวิเคราะห์ที่เหมาะสมกับแบบสำรวจ ที่มีคนตอบกว่า 700 ชุด และมีคำถามมากถึง 16 ข้อ แต่ก็รับความช่วยจากอาจารย์พี่เลี้ยง และความช่วยเหลือจากอาจารย์วิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนในการทดลองจำลองสถานการณ์ กับนักเรียนกว่า 200 คน
“น้อง อรโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทางโรงเรียน จากท่านผู้อำนวยการ ที่อนุญาตให้ใช้ห้องเรียนจำนวน 6 ห้องเป็นห้องทดสอบ และมีอาจารย์แอนดรูว ธอมป์สัน (Andrew Thompson) ซึ่งเป็นอาจารย์วิชาวิทยาศาสตร์ ให้การสนับสนุนการทดลองจริง อีกทั้งช่วยจัดห้องทดลองและดูแลนักเรียน”
สำหรับอนาคตนั้นน้องอรได้กำหนดตัวเลือกให้กับชีวิตของตัวเองขึ้นมา 3 ทางนั่นคือการเป็นกุมารแพทย์ แพทย์นักวิจัยหรือนักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้น้องอรจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการเจเอสทีพีให้ศึกษาต่อจนจบระดับ ปริญญาเอกในประเทศโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ และแม้ว่าน้องอรจะเป็นลูกโทน แต่ครอบครัวก็ไม่คาดหวังอะไรเป็นพิเศษกับลูกสาวคนเดียวของบ้านคนนี้
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับน้องอรเป็นพิเศษ ท่านเพียงแต่อยากให้น้องอรโตขึ้นเป็นคนดี เป็นคนมีคุณค่าและมีความสุข” น้องอรกล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่ถึงอย่างนั้นน้องอรก็ได้ทำพ่อกับแม่ภูมิใจด้วยการสอบผ่านในโครงการ โอลิมปิกวิชาการสาขาคณิตศาสตร์ซึ่งจะมีการคัดตัวต่อไป และเมื่อครั้งเรียนอยู่ ป.6 น้องอรก็สามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับประเทศของสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) มาได้
เห็น เยาวชนไทยมีความสามารถและยึดถือในเหตุและผลอย่างนี้ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ก็อดชื่นชมไม่ได้ และหวังว่าเยาวชนคนอื่นๆ จะได้รับการสนับสนุนให้ได้แสดงออกในทางที่ดีอย่างนี้บ้าง
ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th
Party Games For ConsultantsPlay Pool GamesFree Full Versions Of Pc GamesFree Math GamesFree Sims Games OnlineMassive Multiplayer Online GamesNaughty Flash GamesTruck Racing Games OnlineBen 10 Free GamesFlash Helicopter Game